อินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้านคืออะไร

25 Feb, 2025 อ่าน 15 นาที

ระดับแนวรับและแนวต้านคืออะไร

ข้อดีของการใช้อินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้าน

อินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้านชั้นนำ

Moving Average

Bollinger Bands

Donchian Channels

Fibonacci Retracement

กลยุทธ์แนวรับและแนวต้าน

ราคาทะลุแนวรับ/แนวต้าน

กลยุทธ์ช่องราคา

การกลับทิศทาง

ข้อสรุป


ระดับแนวรับและแนวต้านช่วยให้นักเทรด Forex ตัดสินใจโดยมีข้อมูลมากขึ้น ระดับแนวรับและแนวต้านแสดงโซนราคาที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด โดยกำหนดตำแหน่งที่ราคาสามารถชะลอตัว ย้อนกลับชั่วคราวหรือเคลื่อนไหวตามแนวโน้มต่อไป แล้วเราจะระบุโซนราคาสำคัญเหล่านี้ยังไง? ง่าย ๆ เลย คุณจะเห็นบางอินดิเคเตอร์แสดงการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างเฉพาะเจาะจงบนกราฟ แต่ละอินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้านมีลักษณะเฉพาะและสามารถใช้ในเงื่อนไขการเทรดแตกต่างกัน ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ยอดนิยมและประสิทธิภาพของพวกมัน เรายังมอบคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้อินดิเคเตอร์เหล่านี้


ระดับแนวรับและแนวต้านคืออะไร

ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นแนวคิดสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งช่วยให้นักเทรดระบุจุด Pivot ที่เป็นไปได้บนกราฟราคา

ระดับแนวรับคือโซนราคาที่ตลาดมักจะเด้งขึ้นในช่วงแนวโน้มขาลง ในจุดนี้ ผู้เข้าร่วมตลาดมีแนวโน้มที่จะเริ่มซื้อโดยคาดหมายว่าแนวรับจะไม่แตก


ระดับแนวรับ

ระดับแนวต้านคือโซนราคาที่ตลาดพยายามจะทะลุผ่านในช่วงแนวโน้มขาขึ้น แสดงถึงเขตที่มีอุปทานสูง ผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ทำให้ราคาไม่สามารถไปสูงกว่านี้ได้


ระดับแนวต้าน

ระดับแนวรับและแนวต้านถูกลากในแนวนอนและสามารถเป็นเส้นแนวโน้มได้ พวกมันสามารถสร้างเส้นแนวทางราคาที่นักเทรดให้ความสนใจ ตัวอย่างด้านบนและด้านล่างแสดงแนวโน้มโดยใช้ระดับแนวรับและแนวต้าน


ในการลากเส้นแนวรับและแนวต้าน นักเทรดต้องการมากกว่าสองจุดที่ราคามีการตอบสนองก่อนหน้า ยิ่งลากเส้นสัมผัสได้มากจุด ระดับเหล่านี้ก็ยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้น

ข้อดีของการใช้อินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้าน

นักเทรดมือใหม่และมากประสบการณ์ต่างใช้โซนแนวรับและแนวต้านเป็นจุดอ้างอิงหลักเพื่อช่วยในการวางแผนว่าควรเปิดและปิดฐานะบริเวณใด

ตลาด Forex อยู่ในภาวะไม่แน่นอนและผันผวนเสมอ ดังนั้น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจึงขาดไม่ได้ โดยการระบุอินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้าน คุณสามารถ

  • รับสัญญาณเข้าและออกจากการเทรดอย่างแม่นยำ เช่น การรีบาวน์จากระดับแนวรับอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณซื้อ และการไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านได้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณขาย
  • บริหารความเสี่ยง ตั้งออเดอร์ Stop Loss ต่ำกว่าระดับแนวรับหรือสูงกว่าระดับแนวต้าน คุณจะสามารถปกป้องเงินทุนจากการขาดทุนจำนวนมากในกรณีที่ราคามีการเปลี่ยนแปลง
  • ประเมินอารมณ์ตลาด การสังเกตราคาสินทรัพย์ภายใต้แนวคิดระดับแนวรับและแนวต้านจะช่วยให้คุณเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของตลาด สมมติว่าราคาเด้งขึ้นซ้ำ ๆ จากระดับแนวรับ ในกรณีดังกล่าว นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อมีอำนาจเหนือกว่าผู้ขาย ในขณะเดียวกัน ราคาทะลุผ่านระดับแนวต้านบ่อยครั้งแสดงให้เห็นว่าผู้ขายกำลังมีอิทธิพลเพิ่มขึ้น

นักเทรดที่ใช้อินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้านมีอัตราความสำเร็จในการเทรดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


อินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้านชั้นนำ

ไม่มีอินดิเคเตอร์ใดที่สามารถช่วยนักเทรดทุกคนในครั้งเดียว ในการเลือกอินดิเคเตอร์ที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ขอให้พิจารณาสภาพคล่องตลาด ความผันผวนและประเภทสินทรัพย์ที่คุณต้องการเทรด

คุณสามารถดูอินดิเคเตอร์ยอดนิยมด้านล่าง

Moving Average

Moving Average (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) แสดงราคาเฉลี่ยของสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองแบบที่พบบ่อยที่สุดประกอบด้วย

  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (Simple Moving Average: SMA) แสดงการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด
  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ยกกำลัง (Exponential Moving Average: EMA) ให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ได้รับล่าสุดมากกว่าข้อมูลในอดีต ทำให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาไวกว่า

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัดตามและไม่ได้มอบสัญญาณแม่นยำ 100% ดังนั้น ควรใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่น ๆ


Bollinger Bands

คุณ John Bollinger นักวิเคราะห์ชาวอเมริกันสร้างอินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้านนี้ในยุค 80 ซึ่งช่วยให้นักเทรดประมาณความผันผวนของสินทรัพย์และมอบสัญญาณจุดเข้าและจุดออกจากการเทรดแก่ผู้เข้าร่วมตลาด อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands มาจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) ในกรอบเวลาที่กำหนด โดยปกติจะใช้ 20 วัน

Bollinger Bands ประกอบด้วยสามเส้นหลัก

  • เส้นบน เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บวกด้วยสองเท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เส้นบนแสดงให้เห็นว่าราคาสินทรัพย์สามารถขึ้นไปสูงได้แค่ไหน
  • เส้นกลาง เส้นกลางแสดงแนวโน้มปัจจุบัน หากราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ นั่นเป็นสัญญาณแนวโน้มขาขึ้น แต่หากราคาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ นั่นเป็นสัญญาณแนวโน้มขาลง
  • เส้นล่าง เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลบด้วยสองเท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เส้นล่างแสดงให้เห็นว่าราคาสินทรัพย์สามารถลดลงต่ำได้แค่ไหน

การใช้ Bollinger Bands มีหลายวิธี เช่น เทรดตามการกลับทิศทาง เทรดตามแนวโน้ม กรองสัญญาณเทรดหรือการปรับใช้ในกรอบเวลาอื่น ๆ


Donchian Channels

คุณ Richard Donchian พัฒนาอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคเพื่อใช้ในการประเมินความผันผวนของตลาด โดย Donchian Channels มีสามเส้น ได้แก่

  • เส้นบน—ราคาสูงสุดในกรอบเวลาที่กำหนด
  • เส้นล่าง—ราคาต่ำสุดในช่วงเวลาเดียวกัน
  • เส้นกลาง—เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระหว่างเส้นบนกับเส้นล่าง องค์ประกอบเสริมในการวิเคราะห์

เมื่อราคาทะลุผ่านเส้นบน นั่นเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น หากราคาทะลุผ่านเส้นล่าง นั่นเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง

ความห่างของเส้นแสดงระดับความผันผวนของตลาด เส้นห่างกันหมายถึงความผันผวนสูง และเส้นใกล้กันหมายถึงความผันผวนต่ำ


Fibonacci Retracement

Fibonacci Retracement หรือเรียกอีกอย่างว่าระดับฟีโบนัชชีนั้นเป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่นักเทรดนิยมใช้มากที่สุด ฟีโบนัชชีมีความสำคัญเนื่องจากมอบข้อมูลบริเวณสำคัญที่ตลาดอาจกลับทิศทาง ระดับสำคัญที่นักเทรดใช้คือ 61.8%, 38.2 % และ 50%

ในการลากเส้นระดับฟีโบนัชชี นักเทรดระบุจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดในตลาดขาขึ้น เส้นที่ลาก (61.8%, 50%, 38.2% เป็นต้น) บ่งบอกบริเวณสำคัญที่นักเทรดคาดหมายว่าราคาจะดึงกลับไปได้


ดังที่ระบุไว้ด้านบน ระดับ 32.8% ทำหน้าที่เป็นระดับแนวรับในตลาดขาขึ้น


กลยุทธ์แนวรับและแนวต้าน

อินดิเคเตอร์มอบเพียงเบาแสะที่มองเห็นได้ว่าระดับแนวรับและแนวต้านอาจอยู่ที่ไหน ในทางตรงกันข้าม กลยุทธ์กำหนดให้นักเทรดต้องทำการวิเคราะห์จริงจัง นักเทรดควรศึกษากราฟราคาและพิจารณาลักษณะเชิงบริบทต่าง ๆ เช่น ปริมาณการเทรด การเกิดรูปแบบกราฟทางเทคนิค ข่าวล่าสุด ฯลฯ ซึ่งเป็นผลให้พวกเขาสามารถตัดสินใจโดยมีข้อมูลมากขึ้น โดยอ้างอิงจากภาพรวมของตลาดไม่ใช่แค่ค่าตัวเลขของอินดิเคเตอร์

ราคาทะลุแนวรับ/แนวต้าน

วิธีราคาทะลุแนวรับ/แนวต้านใช้การเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็วเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

วิธีใช้กลยุทธ์

  1. ระบุระดับ ขั้นแรก ระบุระดับแนวรับและแนวต้าน: เส้นแนวโน้ม เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ฯลฯ
  2. ติดตามสัญญาณราคาทะลุแนวรับ/แนวต้าน รอให้ราคาทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้าน
  3. ราคากลับมาทดสอบระดับเดิม รอให้ราคากลับมาทดสอบบริเวณสำคัญเพื่อเด้งกลับหลังจากราคาทะลุแนวรับ/แนวต้าน
  4. รอการยืนยันสัญญาณ มองหาการยืนยัน เช่น รูปแบบกราฟแท่งเทียนหรือการใช้เครื่องชี้วัดการเคลื่อนไหวของราคา เช่น RSI เพื่อเข้าเทรด

ตัวอย่างด้านบนแสดงกลยุทธ์ราคาทะลุแนวรับ/แนวต้าน ราคาตัดเส้น 50MA กลับมาทดสอบระดับเดิมและลดลงต่อ

กลยุทธ์ช่องราคา

กลยุทธ์ช่องราคาอ้างอิงจากช่องราคาที่เรียบง่าย เครื่องมือทางเทคนิคนี้ช่วยให้นักเทรดวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาภายในกรอบเวลาที่กำหนด

วิธีใช้กลยุทธ์

  1. เลือกกรอบเวลา กำหนดช่วงเวลา (1 ชั่วโมง, วัน, สัปดาห์ ฯลฯ) ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเทรดของคุณ
  2. หาจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด กำหนดระดับแนวรับ (จุดต่ำสุด) และแนวต้าน (จุดสูงสุด) ที่ใกล้ที่สุด ลากเชื่อมด้วยเส้นขนานเพื่อตีกรอบบนและกรอบล่างของช่วงราคา
  3. ตรวจสอบความเสถียรของเส้น ทำให้แน่ใจว่าทั้งสองเส้นลากผ่านหลายจุดราคา
  4. กำหนดทิศทางแนวโน้ม ถ้าช่องราคาเป็นขาขึ้น แสดงว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้น แต่หากช่องราคาเป็นขาลง แสดงว่าเป็นแนวโน้มขาลง
  5. ใส่ใจปริมาณการเทรด การเปลี่ยนแปลงของปริมาณการเทรดยืนยันความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวของราคา ปริมาณการเทรดที่เพิ่มขึ้น ณ ระดับที่ราคาทะลุผ่านยืนยันโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางดังกล่าวต่อไป
  6. เปิดฐานะซื้อหรือขาย เพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ ตั้ง Stop Loss และไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของงบเทรดต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
  7. ติดตามฐานะ ประเมินพฤติกรรมราคาและเตรียมรับมือ หากราคาแสดงสัญญาณการกลับทิศทางหรือการทะลุช่องราคา พิจารณาปิดฐานะบางส่วนหรือทั้งหมด

กลยุทธ์ช่องราคาเข้าใจง่ายและใช้งานง่าย ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือนักเทรดที่มีประสบการณ์

การกลับทิศทาง

กลยุทธ์การกลับทิศทางช่วยให้นักเทรดสร้างเงินกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของทิศทางราคา นักเทรดที่ใช้วิธีนี้คาดหมายการกลับทิศทางหลังจากราคาเคลื่อนไหว (เป็นขาขึ้นหรือขาลง) เป็นเวลานาน

วิธีใช้กลยุทธ์

  1. ระบุระดับการกลับทิศทาง ค้นหาระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญบนกราฟ ระดับเหล่านี้อาจเป็นจุด Pivot เพื่อความชัดเจน ใช้เส้นแนวนอนเพื่อทำเครื่องหมายจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคาในอดีต
  2. วิเคราะห์พฤติกรรมราคา กำหนดว่าราคาจะเข้าใกล้ระดับแนวรับหรือแนวต้านเมื่อใดและสังเกตพฤติกรรมของราคาเมื่ออยู่ใกล้ระดับเหล่านี้ การกลับทิศทางมักมาพร้อมกับรูปแบบกราฟต่าง ๆ เช่น แท่งเทียน Hammer หรือ Absorption
  3. ใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับทิศทาง ใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคต่าง ๆ เช่น Relative Strength Index (RSI), Stochastic Oscillator ฯลฯ ตัวอย่างเช่น หากค่า RSI อยู่เหนือ 70 นั่นเป็นสัญญาณภาวะเข้าซื้อมากเกินไป
  4. เปิดฐานะ เมื่อคุณพบสัญญาณการกลับทิศทาง เปิดฐานะ
  5. ออกจากการเทรด หากราคาไปถึงระดับเป้าหมายกำไรของคุณ คุณได้กำไร แต่หากตลาดเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม พิจารณาปิดฐานะเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนก้อนโต

กลยุทธ์การกลับทิศทางสามารถใช้ได้กับกราฟระยะสั้นและระยะยาว หากคุณใช้อย่างถูกต้อง คุณสามารถรับการเทรดที่สร้างเงินกำไรมากมาย ดังนั้น เรียนรู้วิธีใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค สังเกตเห็นการกลับทิศทางบนกราฟและแยกแยะการกลับทิศทางลวงจากการกลับทิศทางจริง


ข้อสรุป

  • อินดิเคเตอร์แนวรับและแนวต้านไม่ใช่แค่เส้นบนกราฟ แต่เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ช่วยให้นักเทรดระบุระดับที่ราคาอาจกลับทิศทางหรือชะลอตัวลง
  • คุณสามารถใช้ Moving Average, Bollinger Bands, Donchian Channels, Fibonacci Retracement และอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้าน
  • ตัวอย่างเช่น กลยุทธ์ช่องราคาใช้การระบุช่องราคาเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและตัดสินใจเทรด ขณะที่กลยุทธ์การกลับทิศทางทำให้นักเทรดสร้างเงินกำไรจากการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวในทิศทางหนึ่งเป็นเวลานาน
  • แต่ละกลยุทธ์ต้องอาศัยการวิเคราะห์พฤติกรรมราคา ปริมาณและสัญญาณการยืนยันอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มกำไรที่คาดว่าจะได้รับสูงสุด
  • การใช้อินดิเคเตอร์อย่างชำนาญสามารถเปลี่ยนการเทรดแบบเดาสุ่มเป็นการเทรด Forex ที่ประสบความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอ

มาเป็นนักเทรดมืออาชีพกับ Octa

สร้างบัญชีและเริ่มฝึกฝนตอนนี้

Octa